Facebook Marketing 101: มาเริ่มทำการตลาดบน Facebook ให้ถูกต้องกันเถอะ
เรามาดูกันไปทีละส่วนนะครับ
1. เกี่ยวกับ Facebook Page ในเบื้องต้น
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับการทำการตลาดผ่าน Facebook และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมเห็นรอยรั่วจาก Page ต่างๆ เยอะที่สุดเช่นกัน
สาเหตุก็เป็นเพราะ Page ของหลายๆ ที่นั้นไม่ได้ถูก “Optimize”
คำว่า Optimize คือการทำให้สิ่งต่างๆ เช่น Profile Picture, Cover Image, Description, Tab หรือการตั้งค่า Audience ถูกตั้งค่า จัดแสดง หรือถูกวางไว้ให้เหมาะสมกับแบรนด์
ผมแนะนำให้คุณไปอ่านเพิ่มเติมในโพสต์นี้ของ Jon Loomer ที่ว่าด้วยเรื่องของขนาดที่เหมาะสมของรูปภาพบน Facebook และโพสต์นี้ที่ว่าด้วยเรื่องของวิธีการ Optimize Facebook Page ของ Social Media Examiner ครับ
2. วิธีการใช้งาน Page
ในหัวข้อนี้ผมขอแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ขั้นแล้วกันนะครับ
ขั้นแรกคือ Page ของบริษัทไซส์เล็กๆ
ขั้นนี้จะเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีสภาพคล่องมากนัก และการอยู่รอดของแบรนด์นั้นขึ้นอยู่กับการขายของให้ได้เป็นหลัก
Facebook Page ของบริษัทกลุ่มนี้อาจจะต้องทำการเน้นการขายเป็นหลัก (การทำคอนเทนต์เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่อาจจะต้องพิจารณาดูว่าอะไรคือสิ่งที่ควรจะต้องโฟกัสก่อน) บริษัทในกลุ่มนี้อาจจะใช้ Facebook เป็น “ฐานทัพ” ไปก่อนเลยก็ได้ เครื่องมืออื่นๆ เช่นเว็บไซต์ อาจจะยังไม่มีความจำเป็นมาก (หรือจริงๆ ไม่ควรมีเลยด้วยซ้ำ เพราะจะทำให้บริหารจัดการยาก)
และเนื่องจากว่า Reach บน Facebook นั้นถูกกดให้ต่ำลงเรื่อยๆ (จากปริมาณคอนเทนต์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ) การโน้มน้าวให้ผู้ติดตามนั้นกด See First น่าจะหนึ่งในสิ่งที่ควรทำกับ Facebook Page
Shifu แนะนำเมื่อใดก็ตามที่ผู้ติดตามของคุณกด See First บน Page ของคุณแล้ว เมื่อคุณโพสต์อะไรใหม่ๆ ลงไป คนเหล่านั้นจะเห็นโพสต์ของคุณเป็นลำดับแรกๆ
ขั้นที่สองคือ Page ของบริษัทที่เริ่มเติบโต
บริษัทที่อยู่ในขั้นนี้เริ่มมีสภาพคล่อง เริ่มมีเงินมาใช้ในการสร้างแบรนด์ นอกจากเรื่องการขายแล้ว เรื่องการสร้างแบรนด์ให้เติบโตในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญ
สำหรับบริษัทที่เข้าข่ายนี้ ผมแนะนำให้ว่าให้มอง Facebook Page เป็น “แขนขา” ไม่ใช่ “ฐานทัพ” และใช้ Facebook Page เพื่อดึง Traffic เข้าไปยังช่องทางของตัวเองอย่างเช่นเว็บไซต์ หรือใช้ Facebook Page ในการเก็บข้อมูลของลูกค้าของคุณ
สาเหตุที่ผมแนะนำอย่างนี้ก็เป็นเพราะบ้านเช่ายังไงก็เป็นบ้างเช่า บน Facebook คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของช่องทางการติดต่อจริงๆ กับลูกค้าของคุณ ซึ่งผมมองว่าการใช้แต่ Facebook เป็นการทำธุรกิจที่ไม่ยั่งยืนครับ
จริงๆ ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว อยากให้คุณลองไปอ่านบทความเหตุผลที่ไม่ควรพึ่งแต่โซเชียลมีเดียในการทำธุรกิจ และเหตุผลที่ต้องมีเว็บไซต์ ดูนะครับ
บริษัทของคุณอยู่ในขั้นไหนก็ใช้ Facebook Page ให้เหมาะกับขั้นนั้นนะครับ
3. วิธีการซื้อโฆษณา
ปัจจุบันมีคนใช้ Facebook ในการทำธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ Facebook มีพลัง และมีแต้มต่อรองมากขึ้น ซึ่งมันก็ส่งผลให้ค่าโฆษณาแพงขึ้นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ผมจะสื่อก็คือการที่คุณจะอัดงบยิงโฆษณาผ่าน Facebook แบบหว่านแห ให้เข้าถึงคนมากๆ แล้วจะได้ผลตอบแทนกลับมาถล่มทลายนั้นมันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
การซื้อโฆษณาบน Facebook นั้นจำเป็นต้องมีการ Optimize เช่นเดียวกับการบริหาร Facebook Page โดยที่วิธีเบื้องต้นที่ผมอยากแนะนำก็คือการใช้เว็บไซต์ให้เป็นประโยชน์
ถ้าคุณมีเว็บไซต์ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือติด Facebook Pixel เพื่อที่ว่าคุณจะได้สามารถยิงโฆษณาหาคนที่เคยเข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณได้
Shifu แนะนำคุณสามารถยิงโฆษณาหาอีเมลลิสต์ที่คุณมี, ยิงหาคนที่เคยเข้ามาหรือเคยปฏิสัมพันธ์กับเพจของคุณ หรือยิงโฆษณาหาคนที่มีความใกล้เคียงกับคนที่สนใจในบริษัทของคุณ (Lookalike Audience) ก็ได้เช่นกัน
4. เกี่ยวกับข้อมูล
ดังคำกล่าวที่ว่า Information is Power
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้าของคุณโดยตรงเมื่อใช้ Facebook แต่ Facebook ก็ให้ข้อมูลกับคุณเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อได้ละเอียดในระดับนึง
วิธีการดูข้อมูลที่ Facebook ให้กับคุณสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการกดปุ่ม Insights ใน Facebook Page ของคุณ ซึ่ง Facebook จะให้ข้อมูลกว้างๆ แบบไม่ระบุตัวตนมาให้กับคุณค่อนข้างละเอียดเช่นข้อมูลเกี่ยวกับ Reach, Like, Engagement, Demographic และอื่นๆ อีกเยอะพอสมควร
ผมแนะนำว่าให้ลองเอาข้อมูลเหล่านี้มานั่งวิเคราะห์ดูนะครับ ผมเชื่อว่าถ้าคุณวิเคราะห์ และเอามาเรียนรู้ คุณจะสามารถใช้ Facebook ในการทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน
5. การใช้เครื่องมือ
เมื่อคุณมีแผนการ Strategy และเทคนิค (Technique) ที่ดีในการทำ Facebook แล้ว สิ่งต่อมาที่ผมแนะนำให้คุณพิจารณาใช้ก็คือเครื่องมือจัดการ Facebook ครับ เครื่องมือหลายๆ ตัว ถ้าคุณใช้เป็น มันจะช่วยให้คุณจัดการ Facebook ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เช่นถ้าคุณขายของออนไลน์ ลองใช้เครื่องมืออย่าง Page365 หรือ Sellsuki ดู หรือถ้าคุณต้องจัดการ Social Media เป็นจำนวนมาก ผมแนะนำให้ลองไปดูเครื่องมือของต่างประเทศเช่น Buffer หรือ Hootsuite
แน่นอนว่าเครื่องมือเหล่านี้มีค่าใช้จ่าย แต่ผมคิดว่าค่าใช้จ่ายแค่หลักร้อย หรือหลักพัน มันคุ้มมากๆ เมื่อแลกกับสิ่งที่มีค่ามากกว่า “เงิน” ซึ่งสิ่งนั้นคือ “เวลา” ครับ
เครดิต https://www.contentshifu.com/social-media-marketing/facebook-marketing-101/